สมัยประวัติศาสตร์

                   ศิลปะยุคเมโสโปเตเมีย (Mespotemia Art) 

        ศิลปะเมโสโปเตเมีย มีอายุประมาณ 8,000-146 ปีก่อนคริสตกาล เป็นงานศิลปะที่เจริญในลุ่มแม่น้ำไทกรีส -ยูเฟตีส ซึ่งปัจจุบันเป็นดินแดนบางส่วนของอีรัก อิหร่าน ซีเรีย จอร์แดน เป็นศิลปะที่อยู่ในยุคร่วมสมัยกับศิลปะอียิปต์อีกกลุ่มหนึ่ง เมโสโปเตเมียมีพื้นที่กว้างขวางและมีความอุดมสมบูรณ์มาก ทำให้มีกลุ่มชนเผ่าต่างๆ ตั้งถิ่นฐานประกอบด้วยชนชาติ ซูเมอเรียน บาบิโลเนีย แอสสิเรีย และเปอร์เซีย ตามลำดับ เริ่มจากซูเมอเรียนและบาบิโลเนีย เนื่องจากที่อยู่อาศัยเป็นผลทำให้มีศึกสงครามแย่งชิงดินแดนมาตลอด  ศิลปะยุคเมโสโปเตเมียแบ่งได้ดังนี้
         งานด้านสถาปัตยกรรมมักสร้างให้สูงใหญ่เหมือนภูเขา นิยมประดับแก้วหินในสถาปัตยกรรมนั้นๆ ด้วย สถาปัตยกรรมที่โดดเด่น ได้แก่ ซิกกูรัตแห่งเมืองอูร์ สวนลอยแห่งกรุงบาบิโลน ห้องสมุดแห่งแรกของโลก
          ประติมากรรมมีทั้งแบบนูนต่ำ แบบนูนสูง และแบบลอยตัว ส่วนมากเกี่ยวกับเรื่องราวกิจกรรมของพระมหากษัตริย์ มีการประดับเปลือกหอย หินสี มีความสามารถในการแสดงออกและเลือกวัสดุได้อย่างเหมาะสม ส่วนภาพนูนต่ำเป็นรูปการล่าสัตว์ การทำสงคราม
          งานจิตรกรรม เขียนง่ายๆ ไม่เน้นรายละเอียด ไม่มีแสงเงา มีความคล้ายคลึงกับอิยิปต์ตรงการจัดวาง คือ ภาพหน้าคน แขน ขาจะหันข้าง แต่ลำตัวหันด้านหน้า นอกจากนี้พวกเขายังมีอักษรใช้ เรียกว่า อักษรลิ่ม หรือคูนิฟอร์ม 

ภาพนูนต่ำรูปสิงโต สมัยบาบิโลเนียน


อักษรคูนิฟอร์ม


ซิกกูแรตแห่งเมืองอูร์ ในอิรัก

สวนลอยบาบิโลน

 
ศิลปะยุคอียิปต์ (egypt art)
 
          ( 2650 ปีก่อน พ.ศ. - พ.ศ. 510) ชาวอียิปต์มีศาสนาและพิธีกรรมอันซับซ้อน แทรกซึมอยู่เป็นวัฒนธรรมอยู่ในสังคมเป็นเวลานาน มีการนับถือเทพเจ้าที่มีลักษณะอันหลากหลาย ดังนั้น งานจิตรกรรม ประติมากรรม   และสถาปัตยกรรมส่วนมาจึงเป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนา พิธีกรรม โดยเฉพาะพิธีฝังศพ  ซึ่งมีความเชื่อว่าเมื่อตายแล้วจะยังมีชีวิตอยู่ในโลกใหม่ได้อีก จึงมีการรักษาศพไว้อย่างดี  และนำสิ่งของเครื่องใช้ที่มีค่าของผู้ตายบรรจุตามลงไปด้วย 
           ด้านสถาปัตยกรรม
     จุดมุ่งหมายของการสร้างสรรค์งานด้านสถาปัตยกรรมของอียิปต์มาจากการสร้างขึ้นเพื่อคนที่ล่วงลับไปแล้ว โดยคนที่มีชีวิตอยู่จะไม่สามารถใช้ประโยชน์จากสถาปัตยกรรมนั้นๆ เช่นการสร้างพีระมิด
และมัสตาบา โดยภายในพีระมิดจะแบ่งเป็นห้องๆสำหรับเก็บศพที่ทำเป็นมัมมี่และเก็บรักษาทรัพย์สินเครื่องใช้ของผู้ตายเพราะเชื่อว่าผู้ตายจะสามารถนำไปใช้ได้ในโลกหน้า 
     ลักษณะเด่นของสถาปัตยกรรมของอียิปต์คือ จะมีลักษณะใหญ่โต แข็งแรง เพราะสถาปนิกมีความสามารถในการทำโครงสร้างแบบวางพาดด้วยหินซ้อนกันเป็นพีระมิดที่มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมมาใช้ พีระมิดที่ใหญ่โตและเก่าแก่ที่สุดคือ พีระมิดกิซาห์ของกษัตริย์คีออปส์และพีระมิดของกษัตริย์คูฟู

พีระมิดคูฟู (The Great Pyramid of Giza)
 


สุสานของฟาโรห์รามเรสที่ 2



ด้านประติมากรรม
      ประติมากรรมของศิลปะอียิปต์มีลักษณะเป็นแท่งหินสี่เหลี่ยม ทึบตัน และให้ความรู้สึกมั่นคง แข็งแรงแต่ไม่เน้นกล้ามเนื้อ มักตกแต่งด้วยแก้วหินสี การทาสี และปิดทองประดับประดา ที่พบเห็นได้บ่อยคือรูปมนุษย์กับสัตว์อันเป็นสัญลักษณ์ของเทพเจ้าที่เคารพบูชา เช่น รูปประติมากรรมฟาโรห์ขนาดใหญ่ รูปสลักหินสฟิงซ์ รูปสลักหินพระนางเนเฟอร์ติติและฟาโรห์อามิโนฟิสที่ 4 พระสวามี  ลักษณะประติมากรรมของอียิปต์ได้รับอิทธิพลมาจากธรรมชาติ เน้นความเชื่อเรื่องวิญญาณ มีทั้งประติมากรรมแบบนูนเต็มตัวและแบบนูนต่ำ ส่วนรูปคนจะคล้ายๆกับหุ่น

รูปสลักหินพระนางเนเฟอร์ติติและฟาโรห์อามิโนฟิสที่ 4
  
รูปปั้นฟาโรห์ตุตันคาเมน

พระเศียรของพระนางเนเฟอติตติ (Nefertiti)

 
ด้านจิตรกรรม
     วัตถุประสงค์หลักของการสร้างสรรค์ผลงานด้านจิตรกรรมก็เพื่อประดับตกแต่งในงานด้านสถาปัตยกรรมเป็นส่วนใหญ่ จึงพบตามฝาผนังภายในห้องต่างๆของพีระมิด แสดงออกอย่างเด่นชัดในเรื่องความเชื่อของโลกหน้าและเชื่อ
ว่าฟาโรห์เป็นเทพเจ้าที่มีอำนาจสูงสุด ในภาพเขียนพบทั้งรูปคนและสัตว์ เป็นที่น่าสังเกตว่าขนาดตัวของบุคคลนั้นไม่ได้แสดงถึงอายุแต่แสดงถึงสถานะของบุคคล เช่นฟาโรห์มีขนาดใหญ่ที่สุด รองลงมาคือพระราชินี และบริวารมีขนาดเล็กลง ที่น่าสังเกตอีกประการหนึ่งคือจิตรกรรมรูปคนมักไม่คำนึงถึงลักษณะตามธรรมชาติ เช่น เขียนส่วนหัวจนถึงเท้าเป็นรูปด้านข้าง แต่เขียนตาและทรวงอกเป็นรูปด้านหน้า นอกจากนี้ยังแสดงความใกล้ไกลของภาพด้วยการวาดทับซ้อน เช่น จิตรกรรมฝาผนังรูปกลุ่มนางร้องไห้ในสุสานของราโมเซส

ภาพนูนต่ำ แสดงถึงโครงสร้างทางสังคมที่บันทึกเอาไว้เป็นเรื่องของผู้นำหรือ ฟาร์โรห์ 
 
ภาพเขียนจากสีธรรมชาติ


ศิลปะยุคกรีก  (Greece art)

          (500 ปีก่อน พ.ศ. - พ.ศ. 440)  ชาวกรีกมีความเชื่อว่า "มนุษย์เป็นมาตรวัดสรรพสิ่ง" ซึ่งความเชื่อนี้เป็นรากฐาน  ทางวัฒนธรรมของชาวกรีก   เทพเจ้าของชาวกรีกจะมีรูปร่างอย่างมนุษย์  และไม่มีความเชื่อเกี่ยวกับชีวิตหลังความตายเหมือนชาวอียิปต์ ดังนั้น จึงไม่มีสุสานหรือพิธี
ฝังศพที่ซับซ้อนวิจิตรเหมือนกับชาวอียิปต์ 
   
      งานประติมากรรม
งานประติมากรรมภาพคนจะแสดงให้เห็นถึงกล้ามเนื้อและอวัยวะต่าง ๆ ให้สมบูรณ์ที่สุด ปราศจากเครื่องนุ่มห่ม ชาวกรีกจึงนิยมปั้นและแกะสลักรูปคนเปลือยกายไว้มากมาย งานประติมากรรมลอยตัวที่มีชื่อเสียง ได้แก่ เทพธิดาวีนัส (Venus) รูปเทพเจ้าอพอลโล (Apollo) รูปนักกีฬาไมรอน (Myron) ประติมากรรมโลหะสัมฤทธิ์รูปเด็กหนุ่ม เป็นรูปเปลือยที่มีส่วนสัดของร่างกาย ตลอดจนการจัดวางท่วงท่าได้อย่างงดงาม 


รูปปั้นวีนัส เดอ มิโล Venus de Milo

เทพเจ้าอพอลโล
รูปนักกีฬาไมรอน (Myron)
   
        งานด้านจิตรกรรม
กรีกไม่นิยมสร้างจิตรกรรมนักเพราะถือว่าไม่อาจถ่ายทอดรูปแบบที่มีลักษณะที่แท้จริงได้ ดังนั้นงานจิตรกรรมส่วนใหญ่จึงออกมาในรูปแบบการประดับตกแต่งบนภาชนะเครื่องปั้นดินเผาต่างๆ เช่น ไห แจกัน อีกทั้งมีภาพบนผนัง ซึ่งแม้จะถือว่าเป็นจิตรกรรมแท้ของกรีกก็ยังขาดความเป็นเอกลักษณ์เพรามักเป็นภาพเล่าเรื่อง  งานด้านจิตรกรรมพบได้บนผนังต่างๆ และบนภาชนะ มีลักษณะเด่นๆคือ
1. แสดงความรู้สึกตื้นลึกด้วยการเขียนซ้อนกัน
2. ใช้สีจำกัดและแบน
3. ใช้ลวดลายประกอบกิจกรรมรูปคน
4. เรื่องราวของภาพประกอบในไหเป็นเรื่อง
อิเลียดและโอดิสซี แบ่งเป็นตอนๆ
5. นิยมใช้สีดำและสีแดงเขียนด้วยน้ำยาเคลือบ
6. ลักษณะง่าย ชัดเจน 


ภาพบนเเจกันเรื่องอิเลียดและโอดิสซี
 
ภาพวาดปูนเปียกนักกายกรรมชาวครีตัน
      

          สถาปัตยกรรมกรีก
สถาปัตยกรรมกรีก   ใช้ระบบโครงสร้างแบบเสาและคาน เช่นเดียวกับอียิปต์ มีแผนผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า   จากฐานอาคารซึ่งยกเป็นชั้น ๆ ก็จะเป็นฝาผนัง โดยปราศจากหน้าต่าง   ซึ่งจะกั้นเป็นห้องต่าง  ๆ  1 - 3 ห้อง   ปกติสถาปนิกจะ สร้างเสารายล้อมรอบอาคารหรือสนามด้วย มีการสลับช่วงเสากัน  อย่างมีจังหวะ ระหว่างเสากับช่องว่างระหว่างเสา ทำให้พื้นภายนอกรอบ ๆ  วิหารมีความสว่าง และมีรูปทรงเปิดมากกว่าสถาปัตยกรรมอียิปต์ และมีขนาดเหมาะสม   ไม่ใหญ่โต จนเกินไป มีรูปทรงเรียบง่าย 
      สถาปัตยกรรมกรีกยุคคลาสสิคที่สำคัญ มีแตกต่างกัน 3 ประเภทคือ สถาปัตยกรรมแบบ Doric, Ionic, and Corinthian ซึ่งสถาปัตยกรรมแบบ Corinthian นั้นจะไม่ค่อยเป็นที่นิยมกว้างขวางเท่ากับสถาปัตยกรรมแบบ Doric, Ionic เพราะว่าสถาปัตยกรรมแบบ Corinthian นั้นมีความสลับซับซ้อนและมีรายละเอียดเยอะมาก
     สถาปัตยกรรมแบบ Doric เป็นที่รู้จักเพราะชาวสปาตันนิยมใช้ มันสร้างขึ้นจากด้ามไม้ซึ่งภายหลังกลายเป็นหิน ตอนบนของด้ามไม้จะมีบุที่มีบล็อคไม้ทรงสี่เหลี่ยมอยู่ เสาค้ำขื่อที่เรียกว่า architrave      เสา Ionic จะมีลักษณะเรียวกว่าเสา Doric การสร้างต้องใช้แม่แบบและการตกแต่งโดยการแกะสลักด้วยศิลปะที่พริ้วไหว ส่วนบนสุดของผนังมีรายละเอียดที่สวยงาม 
 
หัวเสาแบบ Doric, Ionic, and Corinthian 

 
วิหารพาร์เธนอน  Parthenon

 
อะโครโพลิสแห่งเอเธนส์ ในกรีซ
 
ศิลปะยุคโรมัน  (Roman Art)

      ประมาณ (พ.ศ.340 - พ.ศ.870)  ศิลปะโรมันส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากกรีก ซึ่งมีองค์ประกอบที่ประณีต งดงาม แต่ศิลปะของโรมันเน้นความใหญ่โตมโหฬาร มีความหรูหรา สง่างาม มั่นคงแข็งแรง สถาปัตยกรรมโรมันมีชื่อเสียงมาก โรมันเป็นชาติแรกที่คิดค้นสร้างคอนกรีตได้ สามารถใช้คอนกรีตหล่อขึ้นเป็นโครงสร้างรูปโดมช่วยทำให้การก่อสร้างอาคารมีขนาดใหญ่ขึ้น 
 
      จิตรกรรรม 
 จิตรกรรมของโรมัน อาศัยจากการค้นคว้าข้อมูลจากเมืองปอมเปอี สตาบิเอ และ เฮอร์คิวเลนุม  ซึ่งถูกถล่มทับด้วยลาวาจากภูเขาไฟวิสุเวียสเมื่อ พ.ศ. 622 และถูก ขุดค้นพบในสมัยปัจจุบัน ส่วนใหญ่เป็นภาพที่แสดงถึงเรื่องราวในชีวิตประจำวันของชาวโรมันนอกนั้นเป็นภาพในเทพนิยาย เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ลักษณะของภาพยังมีความงามที่สมบูรณ์จิตรกรรมผาฝนังประกอบด้วยแผงรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า 
มักเลียนแบบหินอ่อน  เป็นภาพทิวทัศน์  ภาพคน  และภาพเกี่ยวกับสถาปัตยกรรม มีการใช้แสงเงา และกายวิภาคของมนุษย์ชัดเจน  เขียนด้วยสีฝุ่นผสมกับกาวน้ำปูน และสีขี้ฝึ้งร้อน นอกจากการวาดภาพ ยังมีภาพประดับด้วยเศษหินสี  (Mosaic)  ซึ่งใช้กันอย่างกว้างขวาง ทั้งบนพื้นและผนังอาคาร 


ภาพจากหินสี

ภาพจากสีฝุ่นผสมกับกาวน้ำปูนและสีขี้ผึ้งร้อน

  ประติมากรรม
ประติมากรรมของโรมันรับอิทธิพลมากจากชาวอีทรัสกันและกรีกยุคเฮเลนิสติก แสดงถึงลักษณะที่ถูกต้องทางกายภาพ   เป็นแบบอุดมคติที่เรียบง่าย   แต่ดูเข้มแข็งมาก  ประติมากรรมอีกชนิดหนึ่งที่เป็นที่นิยมคือประติมากรรมรูปนูนเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ มีรายละเอียดของเรื่องราว เหตุการณ์ถูกต้อง  ชัดเจน ประติมากรรมโรมันในยุคหลัง ๆ  เริ่มเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพิธีกรรมทางศาสนามากเป็นพิเศษ
วัสดุที่ใช้สร้างประติมากรรมของโรมันมักสร้างขึ้นจาก  ขี้ผึ้ง ดินเผา หิน และสำริด 
      ดังนั้นประติมากรรมในสมัยสาธารณรัฐจึงพอสรุปได้ว่ามี 4 อย่างคือ
1. การสร้าง
เทวรูปเคารพซึ่งอยู่ภายใต้อิทธิพลของศิลปะกรีกแบบเฮเลนิสติก ซึ่งประติมากรโรมันจะขาดบุคลิกส่วนตัว
2. ส่วนแนวที่สองนั้นทำตามรูปแบบเหมือนจริงตามแบบอีทรัสกันและชอบทำรูปเคารพบรรพบุรุษของตัวเอง
3. นิยมทำภาพนูนสูงประดับอนุสาวรีย์หรือบันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ในยุคนั้น ประดับตัวสถาปัตยกรรม
4. ทำรูปเหมือนบุคคล

ภาพนูน แสดงถึงประวัติศาสตร์โรมัน

อพอลโลเบลเวเดียร์

     สถาปัตยกรรม
สถาปัตยกรรมโรมัน ได้แก่อาคารต่าง ๆ ส่วนมากเป็นรูปทรงพื้นฐาน  วัสดุที่ใช้สร้างอาคารได้แก่ ไม้ อิฐ ดินเผา หิน ปูน และคอนกรีต   ซึ่งชาวโรมันเป็นชาติแรกที่ใช้คอนกรีตอย่างกว้างขวางและพัฒนารูปแบบออกจากระบบเสาและคาน ไปสู่ระบบโครงสร้างวงโค้ง  หลังคาทรงโค้ง   หลังคาทรงกลม  และหลังคาทรงโค้งกากบาท มีการนำสถาปัตยกรรมที่สำคัญของกรีกทั้ง  3  แบบ มาเปลี่ยนแปลงและ
ปรับปรุงให้วิจิตรบรรจงขึ้นชาว
กรีกใช้เสาเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้าง  แต่ชาวโรมันมักจะเพิ่มการตกแต่งลงไป โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ทางโครงสร้างเท่าไรนัก ลำเสาของกรีกจะเป็นท่อน ๆ นำมาวางซ้อนต่อกันขึ้นไป  แต่เสาของโรมันจะเป็นเสาหินท่อนเดียวตลอด  รูปแบบอนุสาวรีย์ที่พบมากของโรมันคือ ประตูชัยเป็นสิ่งก่อสร้างตั้งอิสระประดับตกแต่งด้วยคำจารึก และรูปนูนบรรยายเหตุการณ์
ที่เป็นอนุสรณ์ สถาปัตยกรรมที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของโรมัน  คือสะพานส่งน้ำ ซึ่งใช้เป็นทางส่งน้ำจากภูเขา มาสู่เมืองต่าง ๆ  ของชาวโรมันเป็นสิ่งก่อสร้างที่แสดงถึงความก้าวหน้าทางวิศวกรรมของโรมันอย่างเห็นได้ชัด   

สนามกีฬาแห่งกรุงโรม (The colosseum of Rome)

สะพานหรือท่อลำเลียงน้ำ  (Bridges and Aqueduct)
ประตูชัยฝรั่งเศส (The Arc de Triomphe)

        หัวเสา Composite







 
 

5 ความคิดเห็น:

  1. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
  2. ขอบคุณครับที่เอาความรู้มาให้

    ตอบลบ
  3. ขอบคุณ ครับที่ให้มาก๊อป ส่งงานจารครับไม่ได้เว็ปนี้เเย่เลย...

    ตอบลบ
  4. ไม่ระบุชื่อ20 กรกฎาคม 2567 เวลา 09:03

    ซิกม่าจัด

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ไม่ระบุชื่อ2 สิงหาคม 2567 เวลา 04:44

      สกิบิดิดอบๆๆเย้สๆ

      ลบ